ทลายกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีมูลค่าเพิ่ม เสียหายกว่า 1,000 ล้านบาท
กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. จำนวน 72 นาย และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร จำนวน 55 นาย รวมกำลังเจ้าหน้าที่ทั้งสิ้น 127 นาย
ร่วมกันตรวจค้น ทั้งสิ้น 14 จุด แบ่งเป็น จ.ตาก 11 จุด, จ.เชียงใหม่ 2 จุด และ กทม. 1 จุด ดังนี้
- อาคารพาณิชย์ ถ.อินทรคีรี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- บ้านพัก ม.6 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ถ.ประสาทวิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- บ้านพัก ม.6 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ถ.สายเอเซีย ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ถ.สวรรค์วิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ถ.ประสาทวิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- บ้านพัก ถ.ราษฎร์อุทิศ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ หมู่ 2 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
- บ้านพัก ม.3 ต.หนองหอย อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
- โกดังไม่ระบุเลขที่ ถ.ราษฎร์อุทิศ ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ม.1 ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
- อาคารพาณิชย์ ซ.ประชาอุทิศ 72 ถ.ประชาอุทิศ แขวงทุ่งครุ เขตทุ่งครุ กรุงเทพมหานคร
- อาคารพาณิชย์ ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
ร่วมกันจับกุมผู้ต้องหาจำนวน 10 ราย ตามหมายจับศาลอาญาดังนี้
- นายสำราญฯ อายุ 63 ปี จับกุมได้ที่ บ้านพัก หมู่ 6 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
- น.ส.พิมพ์พิสุทธิ์ฯ อายุ 32 ปี จับกุมได้ที่ บ้านพัก หมู่ 6 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
- น.ส.ณาตยาฯ อายุ 41 ปี จับกุมได้ที่ อาคารพาณิชย์ ถ.ประสาทวิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- น.ส.แสงเทียนฯ อายุ 55 ปี จับกุมได้ที่ บ้านพัก หมู่ 6 ต.แม่กุ อ.แม่สอด จ.ตาก
- นายสุธาราฯ อายุ 66 ปี จับกุมได้ที่ บ้านพัก ถ.ประสาทวิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- นางนิตรฯ อายุ 47 ปี จับกุมได้ที่ อาคารพาณิชย์ ถ.สวรรค์วิถี ต.แม่สอด อ.แม่สอด จ.ตาก
- นางจารุปรานต์ฯ อายุ 65 ปี จับกุมได้ที่ อาคารพาณิชย์ หมู่ 2 ต.หนองจ๊อม อ.สันทราย จ.เชียงใหม่
- นายศุภกิตติ์ฯ อายุ 32 ปี จับกุมได้ที่ อาคารพาณิชย์ ถ.เชียงใหม่สมโภช 700 ปี ต.ท่าศาลา อ.เมืองเชียงใหม่ จ.เชียงใหม่
- นายมงคลฯ อายุ 47 ปี แจ้งข้อกล่าวหาในเรือนจำแม่สอด จ.ตาก
- นายมิน อ่อง มู (MIN AUNG MOE) สัญชาติเมียนมา อายุ 50 ปี จับกุมได้ที่ บ้านพัก ต.ท่าสายลวด อ.แม่สอด จ.ตาก
โดยถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดฐาน
- ร่วมกันออกใบกำกับภาษีโดยไม่มีสิทธิจะออกเอกสารดังกล่าวตาม มาตรา 86/13
- ร่วมกันเจตนาหลีกเลี่ยงหรือพยายามหลีกเลี่ยงภาษีมูลค่าเพิ่มหรือขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม กระทำการใด ๆ โดยความเท็จ โดยฉ้อโกงหรืออุบาย หรือโดยวิธีการอื่นใดทำนองเดียวกัน
- เจตนานำใบกำกับภาษีปลอมหรือใบกำกับภาษีที่ออกโดยไม่ชอบด้วย กฎหมายไปใช้ในการเครดิตภาษีอันเป็นความผิดตามมาตรา 90/4 (3) (6) (7) แห่งประมวลรัษฎากร
ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่ 3 เดือนถึง 7 ปี ต่อ 1 กรรมการกระทำความผิด ต่างกรรมต่างวาระ ซึ่งพบว่าการกระทำความผิดของผู้ต้องหาแต่ละรายมีจำนวนหลายกรรม
วันเวลาที่ตรวจค้น/จับกุม วันที่ 24 มิถุนายน 2568 ตั้งแต่เวลา 08.30 น. – 16.00 น.
พร้อมตรวจยึดของกลาง ที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดของกลุ่มเครือข่ายดังกล่าว ดังนี้ เอกสารที่เกี่ยวข้องจำนวน 100,000 ฉบับ , โทรศัพท์มือถือ จำนวน 20 เครื่อง , คอมพิวเตอร์และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ จำนวน 30 เครื่อง


ด้วยกรมสรรพากรได้ตรวจสอบพบการกระทำความผิดของผู้ประกอบการซึ่งเป็นหนึ่งในกลุ่มเครือข่ายฉ้อโกงภาษีรัฐ จึงประสานข้อมูลกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. ให้ทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล จากการสืบสวนทราบว่า กลุ่มของผู้ต้องหา โดย นายสำราญฯ ได้จัดตั้ง บริษัท เอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ซึ่งประกอบกิจการนำเข้าส่งออกสินค้า และได้นำบุคคลในครอบครัว ญาติพี่น้อง พนักงานลูกจ้าง รวมถึงเพื่อนและคนรู้จัก จัดตั้งร้านค้าและบริษัท ซึ่งเป็นผู้ประกอบการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ.20) จำนวนกว่า 20 แห่ง แล้วแสร้งทำทีว่ามีการซื้อขายสินค้าระหว่างกันเป็นทอด ๆ โดยไม่มีการซื้อขายสินค้ากันจริง ๆ


มีเจตนาหลักฐานการซื้อขายเท็จเพื่อทำให้ราคาของสินค้าสูงมากขึ้นเรื่อย ๆ โดยจะมีการออกใบกำกับภาษีระหว่างร้านค้าและบริษัทในเครือข่ายของตนในลักษณะหมุ่นวนกันไปมาเป็นทอดๆ (การซื้อขายเป็นทอด ๆ วนกันไปมาเช่นนี้ จะทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้น รวมทั้งทำให้ “ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7%” เพิ่มขึ้นตามราคาสินค้าด้วย) จนท้ายที่สุดจะใช้บริษัท เอส แอนด์ เอ็ม บราเธอร์ฮู้ดฯ ซึ่งจดทะเบียนเป็นผู้ประกอบการส่งออก ทำการซื้อสินค้าจากผู้ประกอบการในกลุ่มเครือข่ายทอดสุดท้าย


ซึ่งสินค้าจะมีราคาที่สูงเกินจริง และ ภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% ก็จะสูงมากขึ้นตามไปด้วย แล้วทำการส่งออกสินค้าเดียวกันนี้ไปยังประเทศเพื่อนบ้าน (เมียนมา) โดยลูกค้า (ฝั่งเมียนมา) ที่มาซื้อสินค้าก็เป็นคนของเครือข่ายด้วย เพื่อสร้างภาพและสร้างหลักฐานของการส่งออกสินค้า สำหรับการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT 7%) ที่มาจากมูลค่าสินค้าอันเป็นเท็จต่อกรมสรรพากร


สินค้าที่กลุ่มของผู้ต้องหาได้ทำการส่งออก เป็นสินค้าประเภทกลุ่มเครื่องอุปโภคบริโภค จะไม่มีการคิดอัตราอากรขาออก ซึ่งจะเท่ากับว่า ผู้ประกอบการส่งออกจะไม่มีการเสียภาษีศุลกากรขาออก และจะไม่ถูกจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม โดยทางกรมสรรพากรจะให้สิทธิกลุ่มผู้ประการส่งออกเหล่านี้ สามารถขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม หรือ VAT 7% (ตามยอดภาษีซื้อ) ในแต่ละเดือนได้ จึงเป็นช่องทางที่กลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหา สร้างการซื้อขายปลอมเพื่อทำให้ราคาสินค้าสูงเกินจริง เพื่อมาใช้ในการขอคืนภาษีหลังจากสร้างภาพการส่งออก เพื่อให้ได้เงินภาษีที่ขอคืนจากกรมสรรพากรในจำนวนที่สูง


ในช่วงระยะเวลาปี พ.ศ.2564 – 2565 พบว่า กลุ่มเครือข่ายของผู้ต้องหา ได้ขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่มจากกรมสรรพากร เป็นจำนวนเงินกว่า 150 ล้านบาท และจากการประเมินภาษีพบว่ามีมูลค่าความเสียหายจากการกระทำความผิดของกลุ่มผู้ต้องหาทั้งเครือข่ายเป็นจำนวนเงินกว่า 1,000 ล้านบาท เจ้าพนักงานตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. จึงได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน ยื่นคำร้องต่อศาลอาญาเพื่อขอหมายจับผู้ต้องหาที่เกี่ยวข้องทั้งหมดจำนวน 10 ราย และได้ยื่นคำร้องขอหมายค้นเพื่อเข้าทำการตรวจค้นสถานประกอบกิจการของกลุ่มเครือข่ายที่เกี่ยวข้องอีกจำนวน 14 จุด


ต่อมาในวันที่ 24 มิ.ย. 68 จึงได้มีการบูรณาการกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.2 บก.ปอศ. และเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร จำนวนรวมกว่า 127 นาย เปิดปฏิบัติการ “ปิดเกมส์กลโกงภาษี” หรือ “Anti Tax Fraud Operation” เข้าจับกุมกลุ่มเครือข่ายที่ได้ร่วมกระทำความผิดดังกล่าว โดยได้เข้าดำเนินการตรวจค้นจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา จำนวน 10 หมาย (พื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก 8 หมาย/พื้นที่ จ.เชียงใหม่ 2 หมาย)


และตรวจค้นเพื่อหาพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องตามหมายค้นอีกจำนวน 14 หมาย (พื้นที่ อ.แม่สอด จ.ตาก 11 จุด/พื้นที่ จ.เชียงใหม่ 2 จุด/พื้นที่ กทม. 1 จุด) โดยเจ้าหน้าที่ได้เข้าตรวจค้นทั้ง 14 จุด ในเวลาพร้อมเพรียงกันทุกจุด โดยมี นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร, พล.ต.ต.ณัฐศักดิ์ เชวนาศัย รอง ผบช.ก., พล.ต.ต.ทัศน์ภูมิ จารุปรัชญ์ ผบก.ปอศ. ควบคุมการปฏิบัติการ ณ ห้องควบคุมสั่งการ RTCC (Real Time Crime Center) ชั้น 8 อาคารประชาอารักษ์ บก.ป. ตลอดระยะเวลาการเข้าตรวจค้นจับกุม
ผลการปฏิบัติ เจ้าหน้าที่สามารถจับกุมผู้ต้องหาตามหมายจับได้ครบถ้วนทั้ง 10 ราย และตรวจยึดของกลางเพื่อเป็นพยานหลักฐาน เช่น เครื่องคอมพิวเตอร์พร้อมอุปกรณ์ จำนวน 30 เครื่อง, โทรศัพท์มือถือ จำนวน 20 เครื่อง และเอกสารที่เกี่ยวข้อง จำนวน 100,000 ฉบับ จากนั้นได้นำส่งพนักงานสอบสวน กก.2 บก.ปอศ. เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป
สอบถามคำให้การผู้ต้องหาเบื้องต้น มีผู้ต้องหาบางรายให้การรับสารภาพ และบางรายให้การปฏิเสธ
ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) โดย กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเศรษฐกิจ (บก.ปอศ.) ได้ดำเนินการตามมาตรการเชิงรุก โดยประสานความร่วมมือกับกรมสรรพากรอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันปราบปรามและจับกุมผู้กระทำความผิดฐานฉ้อโกงภาษี อันเป็นการทำลายระบบการจัดเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม ซึ่งมีผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจและการพัฒนาประเทศชาติโดยรวม
ทั้งนี้ การฉ้อโกงภาษีในลักษณะนี้ เป็นความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 90/4(3) (6) (7) มีโทษจำคุก ตั้งแต่ 3 เดือน ถึง 7 ปี , ปรับตั้งแต่ 2,000 – 200,000 บาท
มาตรา 90/4 บุคคลดังต่อไปนี้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามบทบัญญัติที่ระบุไว้ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามเดือนถึงเจ็ดปี และปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงสองแสนบาท